ISO
ISO 9001 : 2000 เป็นมาตรฐานสากลที่องค์กรธุรกิจทั่วโลกให้ความสำคัญ เพื่อความเป็นเลิศทางด้านคุณภาพ และความมีประสิทธิภาพของการดำเนินงานภายในองค์กร
ISO 9001 : 2000 จึงเป็นระบบบริหารงานคุณภาพมาตรฐานสากล แนวคิดสำคัญของ ISO 9001 : 2000 คือ การจัดวางระบบบริหารงาน เพื่อการประกันคุณภาพซึ่งเป็นระบบที่ทำให้เชื่อมั่นได้ว่ากระบวนการต่างๆ ได้รับการควบคุม และสามารถตรวจสอบได้โดยผ่านเอกสารที่ระบุขั้นตอน และวิธีการทำงาน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบุคลากรในองค์กรรู้หน้าที่ความรับผิดชอบและขั้นตอน ต่างๆ ในการปฏิบัติงาน โดยต้องมีการฝึกอบรมให้ความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานมีการจดบันทึกข้อมูล รวมทั้งการตรวจสอบการปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามที่ระบุไว้ในเอกสารหรือไม่ และมีการแก้ไขข้อผิดพลาดรวมทั้งมีแนวทางในการป้องกันข้อผิดพลาดเดิมในปัจจุบันมาตรฐาน ISO 9001 : 2000 จึงกลายเป็นเงื่อนไขหรือข้อกำหนดทางการค้าในการติดต่อธุรกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งเป็นใบเบิกทางไปสู่การค้าในระดับสากล
มาตรฐานที่ใช้ได้กับทุกองค์กร
ISO 9001 : 2000 เน้นบทบาทของผู้บริหารระดับสูงที่จะต้องให้ความสำคัญกับความต้องการ ความคาดหวังของลูกค้า และผู้ที่เกี่ยวข้อง องค์กรทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรมการผลิตหรือภาคบริการทั้งรัฐและ เอกชน สามารถนำระบบการบริหารงานคุณภาพ ISO 9001 : 2000 ไปใช้ได้ และไม่มีขีดจำกัดว่าต้องใช้กับองค์กรขนาดใหญ่ที่การลงทุนสูงและบุคลากร จำนวนมากเท่านั้น แต่ยังใช้ได้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ และบริการให้เทียบเคียงกับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงได้
ประโยชน์ที่ได้รับภายในองค์กร
- มีกระบวนการทำงานที่เป็นระบบยิ่งขึ้น
- มีคุณภาพสินค้าที่ดีขึ้น
- ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากของเสียได้อย่างเป็นรูปธรรม
- เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานดีขึ้น
- มีระบบเอกสารที่ดีขึ้น
- ลูกค้าเกิดความมั่นใจในสินค้าและบริการ
- ก้าวสู่ตลาดต่างประเทศได้ง่าย
- เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า
- สร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า
- เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
- การให้ความสำคัญกับลูกค้า (Customer Focus)
- ความเป็นผู้นำ (Leadership)
- การมีส่วนร่วมของบุคลากร (Involvement of People)
- การบริหารเชิงกระบวนการ (Process Approach)
- การบริหารที่เป็นระบบ (System Approach)
- การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continual Improvement)
- การตัดสินใจบนพื้นฐานความเป็นจริง (Factual Approach to Decision Making
)
- ความสัมพันธ์กับผู้ขายเพื่อประโยชน์ร่วมกัน (Mutually Beneficial Supplier Relationship)
มาตรฐานงานคุณภาพ ISO 9000 จัดทำขึ้นโดยองค์การระหว่างประเทศ ว่าด้วยมาตรฐาน(International Organization for Standardization)ISO 9000 เป็นระบบคุณภาพที่ใช้ได้ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอุตสาหกรรม การผลิตหรือการบริการ โดยไม่คำนึงถึงขนาดเทคโนโลยี หรือความ ซับซ้อนขององค์การหลักการของระบบมาตรฐานงานคุณภาพ ISO 9000 นั้น ตั้งอยู่บนความคิดพื้นฐานที่ว่า เมื่อกระบวนการ (Process) ดีแล้ว ผลที่ได้รับ (Outputs) ก็ย่อมจะดีตามไปด้วย ซึ่งกระบวนการในที่นี้เป็นกระบวนการใดๆ ก็ได้ ที่ก่อให้เกิดผล และผลที่ได้เป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรม โดยคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญซึ่งย่อมก่อให้เกิดความพึงพอใจของลูกค้าก็คือความหมายของ“คุณภาพ” นั่นเองการควบคุมกระบวนการให้ดีเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในสินค้าหรือการบริการนั้น โดยหลักการก็คือการจัดทำระบบ ที่ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า กระบวนการ ต่างๆได้รับการควบคุมโดยมีเอกสารระบบขั้นตอนวิธีการทำงานเพื่อให้เกิดความ มั่นใจว่าหน่วยงานรู้หน้าที่ความรับผิดชอบของตนอีกทั้งขั้นตอนต่างๆในการ ปฏิบัติงาน หน่วยงานและบุคลากรจะต้องได้รับการอบรมเพื่อให้มีทักษะในการปฏิบัติงานมีการ บันทึกข้อมูลและตรวจสอบว่าการปฏิบัติงานเป็นไปตามที่ระบุไว้ มีการแก้ไขข้อผิดพลาด รวมทั้งมีการป้องกันปัญหามิให้เกิดซ้ำขึ้นอีก ดังนั้น เอกสารที่จัดทำขึ้นในระบบคุณภาพ ISO 9000 ก็เพื่อสร้างระบบ ให้ หน่วยงานนั่นเอง เพื่อให้การทำงานต่างๆ ภายในองค์กร ขึ้นอยู่กับ“ระบบ”ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับ “คน” แต่เพียงอย่างเดียว
มาตรฐานคืออะไร
มาตรฐานคือ ข้อตกลงที่จัดทำขึ้นเป็นเอกสาร โดยการรวบรวมข้อมูลหรือข้อกำหนดทางเทคนิค (Technical Specifications) หรือวิธีการทำงาน ที่ถูกต้อง เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป แล้วร่วมกำหนดเป็นเกณฑ์ข้อบังคับขึ้นมาหรือ นิยาม คำจำกัดความคุณลักษณะเฉพาะ (Definition of Characteristics)ของสิ่งนั้นๆที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่า วัสดุ ผลิตภัณฑ์ ขบวนการ หรือการบริการนั้นๆ บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการดังนั้น มาตรฐาน (Standards) ก็คือ ข้อตกลงหรือพันธะร่วมที่ยอมรับระหว่างผู้ผลิตกับผู้รับบริการ หรือ เกิดจากเกณฑ์เฉลี่ยจากสมรรถนะ ของหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงาน หรือ เกิดจากข้อกำหนดด้านวิธีการหรือการทำงาน (Procedures manual หรือ Work Instruction) นั้นเององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐาน(International Organization for Standardization:ISO) เป็นองค์กรอิสระ(Non–govermential Organization) จัดตั้งขึ้นในปี คศ.1947 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีสมาชิกกว่า 130 ประเทศทั่วโลก มีพันธกิจ (Mission) ในการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนามาตรฐานงานต่างๆ และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ และพัฒนาความร่วมมือในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและเศรษฐกิจ อย่างครบวงจรองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐาน (International Organization for Standardization) มีชื่อเรียกสั้น ๆว่า ISO เป็นภาษากรีก ซึ่งมีความหมายว่า “เท่าเทียมกัน” ดังเช่น “ ISOMETRIC” ซึ่งมีความหมายว่า “วัดได้เท่ากันหรือขนาดเท่ากัน” หรือ “ISONOMY”ซึ่งหมายถึง “มีความเท่าเทียมกันตามกฎหมาย”เป็นต้น ดังนั้นคำว่า“ ISO” จึงไม่ใช่คำที่ย่อมาจากชื่อเต็มขององค์การ
องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐาน (International Organization for Standardization) ประสพความสำเร็จในการกำหนดมาตรฐาน ต่างๆมากมาย ที่นานาประเทศนำไปใช้อย่างแพร่หลาย ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อวงการค้า อุตสาหกรรมและต่อผู้บริโภคเอง เช่น
- กำหนดรหัสความเร็วของฟิล์มถ่ายรูป (The ISO Film Speed Code)
- กำหนดมาตรฐานของบัตรโทรศัพท์และบัตรเครดิต (Telephone and Banking Cards)
- องค์กรธุรกิจกว่า 10,000 องค์กร ได้มีการนำระบบมาตรฐานงานคุณภาพ ISO 9000 เป็นกรอบไปปฏิบัติว่ามีการบริหารจัดการ อย่างมี คุณภาพและประกันคุณภาพ ขณะเดียวกันก็ได้นำมาตรฐาน ISO 14000 นำไปเป็นกรอบปฏิบัติในเรื่องของการจัดการสภาพแวดล้อมอย่างได้ผล
- กำหนดตู้ Container (Internationally Standard Freight Container) ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันหมด เพื่อให้เกิดความสะดวกในการขนส่งไม่ว่า จะขนส่ง ด้วยเครื่องบิน เรือเดินทะเล รถไฟ รถยนต์บนทางหลวง หรือในการจัดเก็บ พร้อมทั้งกำหนดเป็นเอกสารมาตรฐาน ชี้บ่งประเภท ของ สินค้าที่จะต้องเฝ้าระวังด้วยทำให้ต้นทุนการค้าขายมีราคาถูกลง มีความรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น
- กำหนดระบบการวัดมาตรฐาน (Universal System of Measurement) ขึ้นมา 7 หน่วยพื้นฐานซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า ระบบ SI Unit ซึ่งถ้า ปราศจากหน่วยมาตรฐานเหล่านี้แล้วงานทางด้านช่างก็จะไร้จุดยึดเหนี่ยวการ พัฒนาทางด้านเทคโนโลยีก็จะชลอตัวลงเสียเปรียบกับด้านอื่นๆที่มีการพัฒนา อย่างด่อเนื่อง
- กำหนดมาตรฐานขนาดกระดาษ (Paper Sizes) เช่น ISO 216 เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ผลิตและลูกค้าในเรื่องของราคา
- กำหนดมาตรฐานสัญญาลักษณ์ ควบคุมการทำงานต่างๆ ภายในรถยนต์ (Symbols for Automobile Controls)ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่ว โลก ไม่ว่าจะผลิตจากแหล่งใด
- กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยของลวดสลิง (Safety of Wire Ropes) ที่ใช้ในฐานขุดเจาะน้ำมัน เรือประมง อุตสาหกรรมเหมืองแร่ ลิฟท์ (Lift) ในอาคารและในรถกระเช้า (Cable Car) เป็นต้น
- กำหนดรหัสมาตรฐาน สำหรับชื่อประเทศ สกุลเงิน และภาษาที่ใช้ (ISO International Codes for Country Names, Currency and Language)
- กำหนดเกลียวมาตรฐาน (ISO Metric Screw Threads) สำหรับ Bolts และ Nuts ต่างๆ ที่ใช้อยู่ทั่วโลก
- เป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก
- คุณภาพเป็นสิ่งสำคัญในการแข่งขันของธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต
- มีความหลากหลายในการนำไปประยุกต์ใช้
- การยอมรับของประเทศชั้นนำมากกว่า 130 ประเทศ
- สามารถขึ้นทะเบียนใบรับรองได้ทั่วโลก
- น้ำมัน ปิโตรเลี่ยม ปิโตรเคมี ก๊าซธรรมชาติ
- ชิ้นส่วนรถยนต์
- พลาสติก กระดาษ โลหะ
- อิเลคโทรนิคส์ และไฟฟ้า
- อาหาร และ Catering
- เคมี และยาเวชภัณฑ์
- บริการ เช่น โรงแรม โรงพยาบาล การประกันภัย การขนส่ง
- ก่อสร้าง
ใน ปัจจุบันองค์กรต่างๆต่างเล็งเห็นถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในการ ดำเนินงาน อย่างไรก็ดีองค์กรที่ได้รับความสำเร็จอย่างแท้จริงจากการนำ เทคโนโลยีใช้ให้เกิดประโยชน์จะได้แก่องค์กรที่ผู้บริหารมีความรู้ความเข้าใจ ที่จะจัดการกับความเสี่ยงด้านการนำเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กรอย่างเหมาะสการบริ หารและจัดการความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีจึงกลายเป็นส่วนที่มีนัยสำคัญในการ บริหารจัดการความเสี่ยงขององค์กรโดยรวมโดยเฉพาะองค์กรที่มุ่งสู่การเป็น บรรษัทภิบาล (Good Corporate Governance)
- การวางแผนและการจัดการองค์กร (Planning and Organization)
- การจัดหาและติดตั้ง (Acquisition and Implementation)
- การส่งมอบและบำรุงรักษา (Delivery and Support)
- การติดตามผล (Monitoring)
- คุณภาพของระบบข้อมูล ประการ (Information Criteria)
- ทรัพยากรด้านเทคโนโลยี (IT Resources) 5 ประเภท
- Maturity Model
- Critical Success Factors
- Key Goal Indicators
- Key Performance Indicators
- ประสิทธิผล (Efficiency) หมายถึง มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลสารสนเทศ
- ความลับ (Confidentiality) หมายถึง การป้องกันการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่ไม่ได้รับอนุญาต
- ความสมบูรณ์ (Integrity) หมายถึงความครบถ้วนถูกต้องของข้อมูล ตลอดจนเป็นข้อมูลใช้ได้(Vali
- ประสิทธิภาพ (Effectiveness) หมายถึงข้อมูลที่ใช้เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางธุรกิจ รวมทั้งมีการส่งมอบข้อมูลแก่ผู้ใช้อย่าง ถูกต้อง ตรงเวลา สม่ำเสมอ (Consistent) และใช้ประโยชน์ได้ (Usable)
- dity) ในแง่ของความคาดหมายและการให้ความสำคัญของธุรกิจ (business values and expectations)
- การ มีใช้เมื่อต้องการ (Availability) หมายถึง เป็นข้อมูลที่เรียกใช้ได้เมื่อต้องการและจำเป็นใช้ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต และรวมทั้งการป้องกันภัยให้กับทรัพยากรต่างๆที่จำเป็นและการรักษาระดับความ สามารถในการทำงานของทรัพยากรเหล่านั้น
- การปฎิบัติตามระบบ (Compliance) หมายถึง การที่ข้อมูลได้จัดทำขึ้นตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ ข้อตกลง หรือกฎหมาย ที่มีขึ้นเพื่อบังคับใช้ทั้งจากหน่วยงานภายในและภายนอกองค์กร เช่น ข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ ประมวลกฎหมายภาษีอากร หลักการบัญชีที่ยอมรับโดยทั่วไป เป็นต้น
- ความ
น่าเชื่อถือของข้อมูล (Reliability of Information)
หมายถึงความสามารถในการจัดหาข้อมูลที่เหมาะสมให้แก่ผู้บริหารของกิจการเพื่อ
สามารถดำเนินธุรกิจและเพื่อให้สามารถจัดทำรายงานทางการเงินและรายงานที่จำ
เป็นอื่นๆภายใต้ความรับผิดชอบของผู้บริหาร
- ข้อมูล (Data) รวมความถึงข้อมูลในรูปแบบต่างๆทั้งที่มีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง ข้อมูลด้านกราฟฟิค และข้อมูลที่เป็นเสียง
- ระบบงาน (Application System) ได้แก่ขั้นตอนและกระบวนการปฎิบัติงานทั้งที่ทำด้วยมือและโปรแกรมคอมพิวเตอร์
- (Technology) ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ (hardware) โปรแกรมระบบ (Operating Systems) ระบบบริหารฐานข้อมูล (database management system) ระบบเครือข่าย (Networking) และระบบมัลติมีเดีย
- (Facilities) ได้แก่ทรัพยากรต่างๆที่ใช้เป็นสถานที่ติดตั้งหรือจัดวาง ตลอดจนสาธารณูปโภคที่จำเป็นเพื่อการปฎิบัติงานของระบบสารสนเทศ
- บุคลากร (People) ได้แก่บุคคลากรที่มีความรู้ความชำนาญในการบริหารและปฎิบัติงาน
สำหรับการดูแลและจัดทำระบบสารสนเทศ
-
การนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้เพื่อสนับสนุนการทำงานและ
กลยุทธ์ต่างๆ ขององค์กร จะสามารถประสบความสำเร็จได้นั้น
องค์กรจะต้องมีการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบต่างๆ ให้ชัดเจน
และพนักงานทุกคนจะต้องเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่ได้จากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ
เข้ามาใช้ และจะใช้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร
ซึ่งโคบิตได้จัดเตรียมเนื้อหาที่ครอบคลุมในเรื่องของการบริหารจัดการ
เทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้ในองค์กร โดยจะแบ่งออกเป็น 4 โดเมนหลักๆ
ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
เนื้อหาในโดเมนนี้ครอบคลุมในเรื่องของกลยุทธ์และวิธีการที่นำมาใช้ในองค์กร โดยจะเน้นในเรื่องของการกำหนดวิธีที่จะทำให้เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทสำคัญ เพื่อให้สารสนเทศนั้นสามารถตอบสนองความต้องการทางด้านธุรกิจขององค์กรได้ ซึ่งการกำหนดกลยุทธ์ที่สามารถนำมาใช้ได้จริงนั้นจำเป็นที่จะต้องมีการวางแผน มีการบริหารจัดการที่ดี และต้องมีการสื่อสารให้พนักงานทั้งองค์กรรับทราบร่วมกัน และท้ายสุดองค์กรจำเป็นต้องมีการจัดวางโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี สารสนเทศที่เหมาะสม จากเนื้อหาในโดเมนนี้จะทำให้ผู้บริหารสามารถตอบคำถามต่างๆ เหล่านี้ได้
- ทำให้ผู้บริหารทราบว่ากลยุทธ์ทางด้าน IT และกลยุทธ์ทางด้านธุรกิจเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่
- ประสิทธิภาพและคุณภาพของระบบ IT ที่องค์กรนำมาใช้ มีความเหมาะสมกับความต้องการทางด้านธุรกิจหรือไม่
- เพื่อให้ผู้บริหารสามารถทราบได้ว่าองค์กรกำลังประสบความสำเร็จด้วยการใช้ทรัพยากรต่างๆ อย่างเต็มที่หรือไม่
- เพื่อให้ทราบได้ว่าพนักงานในองค์กรมีความเข้าใจในวัตถุประสงค์ขององค์กรหรือไม่
- เพื่อ
ให้ทราบว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความเข้าใจในความเสี่ยงทางด้าน IT
ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของตนหรือไม่
และจะมีวิธีการบริหารจัดการกับความเสี่ยงดังกล่าวได้อย่างไร
เนื้อหาในโดเมนนี้จะเน้นที่เรื่องของการทำให้กลยุทธ์ที่ได้กำหนดไว้ประสบผล สำเร็จ ซึ่งการดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่ได้วางไว้นั้น จะต้องมีการระบุ พัฒนาหรือจัดซื้อจัดหา นำไปติดตั้งใช้งาน รวมถึงการผนวกรวมเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางธุรกิจ และในโดเมนนี้ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงและการดูแลรักษาระบบงานที่องค์กรมี อยู่ เพื่อให้สามารถมั่นใจได้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศยังคงสามารถสนับสนุนการทำงาน และวัตถุประสงค์ของธุรกิจได้อยู่ตลอดเวลา จากเนื้อหาในโดเมนนี้จะทำให้ผู้บริหารสามารถตอบคำถามต่างๆ เหล่านี้ได้
- โครงการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ที่กำลังพัฒนาหรือจัดหานั้น สามารถนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาหรือสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจได้หรือไม่
- โครงการที่กำลังพัฒนาหรือจัดหานั้น สามารถนำมาใช้งานได้ทันตามระยะเวลาและงบประมาณที่กำหนดไว้หรือไม่
- ระบบใหม่ที่นำมาใช้งานนั้น สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามความต้องการของธุรกิจหรือไม่
- การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้เกิดผลเสียต่อการปฏิบัติงานของธุรกิจในปัจจุบันหรือไม่
เนื้อหาในโดเมนนี้จะเน้นในเรื่องของการส่งมอบบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เมื่อมีความต้องการจากภาคธุรกิจ ซึ่งรวมตั้งแต่การส่งมอบบริการ การดำเนินงานด้านการรักษาความปลอดภัยและความต่อเนื่องของการให้บริการ การบริหารจัดการสารสนเทศและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ไปจนถึงการฝึกอบรมพนักงานเพื่อให้มีความรู้ในเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ เกี่ยวข้องกับงานที่ตนเองปฏิบัติ จากเนื้อหาในโดเมนนี้จะทำให้ผู้บริหารสามารถตอบคำถามต่างๆ เหล่านี้ได้
- การให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถสนับสนุนกรปฏิบัติงานด้านธุรกิจได้อย่างสอดคล้องกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของธุรกิจหรือไม่
- ต้นทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ไปคุ้มค่าแล้วหรือไม่
- การปฏิบัติงานต่างๆ ขององค์กรสามารถที่จะใช้งานระบบสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความปลอดภัยหรือไม่
- ระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีการรักษาความลับ (Confidentiality) ความถูกต้องตรงกัน (Integrity) และความพร้อมใช้งาน (Availability) เพียงพอแล้วหรือไม่
เนื้อหาในโดเมนนี้จะเน้นในเรื่องของการตรวจสอบติดตามและประเมินผลของระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยกระบวนการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งหมดจะต้องได้รับการประเมินอยู่เสมอ เพื่อรับประกันได้ถึงคุณภาพและการปฏิบัติตามขอบังคับของการควบคุม ในโดเมนนี้จะเป็นการระบุถึงการบริหารจัดการในด้านของประสิทธิภาพของระบบ สารสนเทศ ซึ่งจะต้องได้รับการประเมินจากผู้ตรวจสอบทั้งภายในและภายนอกองค์กร จากเนื้อหาในโดเมนนี้จะทำให้ผู้บริหารสามารถตอบคำถามต่างๆ เหล่านี้ได้
- มีการประเมินหรือวัดประสิทธิภาพของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อตรวจหาปัญหาก่อนที่ปัญหานั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
- ผู้บริหารจะสามารถมั่นใจได้อย่างไรว่าการควบคุมต่างๆ ที่องค์กรนำมาใช้นั้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลจริง
- ประสิทธิภาพของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่นั้นสามารถสนับสนุนเป้าหมายทางด้านธุรกิจหรือไม่
- มีการวัดผลและรายงานในเรื่องของความเสี่ยง การควบคุม การปฏิบัติตามกฎ และประสิทธิภาพ ไปยังผู้บริหารระดับสูงขององค์กรหรือไม่
IT Infrastructure Library (ITIL)
ในปัจจุบันชื่อ ITIL นี้คงเป็นที่คุ้นหูของหลายๆท่านที่อยู่ในวงการ IT โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่ต้องบริหารจัดการศูนย์ปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ITIL คืออะไร วันนี้เราจะได้นำท่านมาทำความรู้จักกับ ITIL กัน หากเราลองนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันในศูนย์ปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ (ศูนย์ฯ) ไม่ว่าเราจะไปที่ศูนย์ฯใด เราจะพบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังขะมักเขม้นกับการรับโทรศัพท์แจ้งปัญหาจาก ลูกค้า หรือผู้ใช้บริการ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบงานที่ ลูกค้าแจ้งเข้ามา อีกกลุ่มหนึ่งอาจจะกำลังพยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้ผ่านลุล่วงไปก่อนโดย ยังไม่สนใจสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา เพื่อให้บริการดังกล่าวสามารถเปิดให้บริการแก่ลูกค้าได้อีกครั้งอย่างรวด เร็วที่สุด อีกกลุ่มหนึ่งอาจจะกำลังทดสอบกับระบบงานใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวให้แก่ลูกค้า ในเร็ววันนี้ หากสมมติว่าท่านเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ ท่านคิดว่าตัวอย่างของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามปกติหรือ ไม่ และท่านเองได้รับมือ แก้ไข บริหาร และจัดการ กับสิ่งที่ว่านี้อย่างไร รวมไปถึงว่าท่านเองก็คงต้องให้คำมั่นสัญญากับลูกค้าหรือผู้ใช้ว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก หรือหากเกิดท่านจะสามารถแก้ไขได้ภายในเวลาเท่าไร หากต้องการไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว ในระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ท่านสามารถเตรียมการให้กับผู้ใช้หรือลูกค้าได้อย่างไร คิดเป็นเงินลงทุนเท่าไร ความคุ้มค่าของเงินลงทุนเป็นอย่างไร เป็นต้นครับ ผมได้นำท่านเข้าสู่ห้วงแห่งความคิดคำนึงและความหนักอกหนักใจของท่านที่ต้อง รับผิดชอบดูแลศูนย์ฯ ว่าท่านจะต้องคำนึงถึงเรื่องอะไร เช่นใดบ้าง เราจะพบว่าไม่ว่าท่านจะเป็นผู้บริหารจัดการศูนย์ฯขนาดเล็ก หรือใหญ่แค่ไหน จะเป็นศูนย์ฯสำหรับธุรกิจประเภทใด เป็นศูนย์ฯเฉพาะทางสำหรับงานใดๆ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เป็นปัญหาทั่วไปของท่านผู้ดูแลศูนย์ฯ ที่จะต้องบริหารจัดการให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยความเป็นมืออาชีพเมื่อสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาทั่วไปที่เกิดขึ้น จึงทำให้มีการรวบรวมองค์ความรู้ในการบริหารจัดการศูนย์ เพื่อให้ท่านผู้ดูแล หรือผู้บริหารจัดการศูนย์ฯ สามารถนำความรู้ดังกล่าวมาใช้บริหารจัดการศูนย์ฯอย่างมีประสิทธิภาพและด้วย ความเป็นมืออาชีพได้ นี่คือที่มาของ ITIL หรือ IT Infrastructure Library ครับ
ผมคิดว่าจำเป็นต้องเขียนบทความเกี่ยวกับ ITIL นี้หลายตอน จึงจะนำท่านผู้อ่านเข้าสัมผัสกับเรื่องราวที่น่าสนใจนี้ได้ครบทุกเรื่อง ครับ สำหรับตอนแรกนี้ผมจะกล่าวโดยสรุปสำหรับท่านที่จำเป็นต้องใช้เวลากับการทำงาน ของท่านมาก มีเวลาให้กับการอ่านบทความนี้น้อยก่อนนะครับ
มารู้จักประวัติกันก่อน
ก่อนจะเข้าสู่เรื่องนั้น หากท่านใดมีความสนใจอยากทราบที่มาที่ไปของ ITIL นั้น ก็เชิญได้ครับ หากท่านใดไม่มีความสนใจ ก็สามารถข้ามไปได้เลยครับ ผมจะไม่ทำให้เนื้อหาขาดตอน หรือไม่ต่อเนื่องสำหรับท่านผู้อ่านครับประวัติตอนต้นที่แท้จริงต้องย้อนไปถึงช่วงปลายทศวรรษ 1980 โดยรัฐบาลประเทศอังกฤษตระหนักว่าคุณภาพของการให้บริการด้าน IT นั้นไม่เพียงพอเสียแล้ว จึงได้มีการมอบหมายให้ CCTA (The Central Computer and Telecommunication Agency) ซึ่งได้กลายเป็น OGC (Office of Government Commerce) เมื่อปี 2000 ทำการพัฒนากรอบความรู้ขึ้นสำหรับการบริหารทรัพยากรด้าน IT ที่มีประสิทธิภาพให้แก่ภาครัฐและเอกชน โดยตอนเริ่มต้นนั้นยังไม่ได้ใช้ชื่อ ITIL แต่ใช้ชื่อว่า GITIMM (Government Information Technology Infrastructure Management Method) ซึ่งต่อมาได้มีการชี้ประเด็นกันว่า ไม่น่าจะเรียกว่าวิธีการ(Method) น่าจะเรียกว่าเป็นคู่มือช่วย(Guidance) มากกว่า และก็ได้มีการจัดตั้งคณะผู้ใช้ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า IT Infrastructure Management Forum ซึ่งต่อมาได้กลายเป็น itSMF หรือ IT Service Management Forum เมื่อประมาณปี ’94-’95 ผลงานเรื่องแรกที่ออกมาคือผลงานเรื่อง Service Level Management ในปี 1989 และผลงานเรื่องสุดท้ายคือเรื่อง Availability Management ซึ่งออกมาเมื่อปี 1994 จากนั้นก็ได้มีการรวบรวมผลงานทั้งหมดเข้าด้วยกัน โดยแบ่งออกเป็น 2 เล่มหลัก คือหนังสือปกน้ำเงิน กับหนังสือปกแดง หนังสือปกน้ำเงิน(blue book) นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Service Support และ หนังสือปกแดง(red book) นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Service Delivery หนังสือสองเล่มนี้ถือเป็นสองเล่มหลักของ ITIL framework ที่มีปัจจัยต่อการปรับปรุงกระบวนการในการให้บริการทางด้าน IT ต่อจากนั้นมาก็ได้มีผลงานด้านอื่นที่เกี่ยวข้องตามออกมาอีกดังแสดงในภาพ
ประโยชน์ของ ITIL
ประโยชน์จากการนำความรู้ ITIL มาใช้นั้น คือประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการที่สามารถปรับปรุงกระบวนการให้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งได้แก่
• การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้คุ้มค่ามากขึ้น
• สร้างเสริมความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด
• ช่วยลดงานซ้ำซ้อนหรืองานที่ไม่จำเป็นลงได้
• ช่วยทำให้งานแต่ละโปรเจคท์ดำเนินไปได้ตามที่วางแผนไว้
• ปรับปรุงความสามารถในการให้บริการ IT แก่ลูกค้าให้ดีขึ้น
• สามารถหาต้นทุนของการให้บริการที่มีคุณภาพตามที่กำหนดได้
• สามารถให้บริการที่มีคุณภาพแก่ลูกค้าได้ตามที่สัญญาไว้
เป็นต้น ประโยชน์ต่างๆเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในแต่ละองค์กร สามารถนำมาคำนวณเพื่อหามูลค่าความคุ้มค่าได้ และโดยเหตุที่ ITIL นั้นครอบคลุม 10 กระบวนการ กับอีก 1 ฟังก์ชัน (ภาพด้านล่าง)
การปรับปรุงกระบวนการในแต่ละกระบวนการก็จะให้ค่าความคุ้มค่าที่ต่างกันออกไปด้วย ตัวอย่างขององค์กรที่ได้ประโยชน์จาก ITIL 1 ได้แก่
• Procter & Gamble P&G นำ ITIL เข้ามาใช้งานในองค์กรตั้งแต่ปี 1999 หลังจากผ่านไป 4 ปี P&G รายงานว่าสามารถประหยัดต้นทุนไปได้ถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นต้นทุนด้านการปฏิบัติงาน (operation cost) ที่ลดลงประมาณ 6-8% และบุคคลากรทางด้าน IT ลดลงประมาณ 15-20%
• Caterpillar บริษัท Caterpillar นำ ITIL มาใช้ในองค์กรเมื่อปี 2000 เพื่อจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น (incident management) และได้พบว่าสามารถเพิ่มอัตราการตอบสนองต่อผู้ใช้บริการตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ จาก 60-70% เป็น 90%
• Ontario Justice Enterprise บริษัทนายหน้าที่ทำหน้าที่ดูแลระบบของรัฐบาลแคนาดา นำ ITIL มาใช้ในองค์กรในปี 1999 โดยการทำ virtual service desk ทำให้ลดค่าใช้จ่ายด้านการ supportลงได้ถึง 40% คงต้องขอย้ำอีกครั้งคับว่า ITIL นั้นเป็น Best Practice ซี่งหมายความว่า ITIL ไม่ใช่มาตรฐานประเภทเดียวกันกับพวก ISO หรือ BSxxxx จึงไม่ได้มีการทำ certification ขององค์กรบน ITIL กัน แต่ก็ได้มีการนำหลักการ ITILมาทำเป็นมาตรฐานทางด้านนี้เช่นกันครับ มาตรฐานดังกล่าวได้แก่มาตรฐาน BS15000 ซึ่งเป็นของทางอังกฤษ และในปัจจุบันได้มีการนำเสนอเข้าสู่กระบวนการในการทำให้เป็นมาตรฐาน ISO20000 เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นสำหรับมาตรฐาน ISO นั้น เราคงต้องรออีกสักระยะครับ ส่วนทางด้านของ ITIL เองนั้น ได้ถูกเน้นหนักไปในด้านของการให้การศึกษาหรือความรู้ในหลักการ จึงได้มีการทำ certification ของการศึกษานี้ออกมา โดยแบ่งออกเป็น
ITIL Foundation คอร์สนี้เป็นคอร์สเบื้องต้นพื้นฐานสำหรับท่านที่ยังใหม่ต่อเรื่องนี้อยู่ เมื่อเรียนจนจบและสอบผ่านก็จะได้ ITIL Foundation Certificate และได้ ITIL Badge เป็นรูปสี่เหลี่ยมข้ามหลามตัดสีเขียวดังในภาพครับ
• ITIL Practitioner คอร์สนี้เป็นคอร์สเจาะลึกลงในแต่ละกระบวนการ แต่ละกระบวนการใช้เวลา 3 วัน เมื่อเรียนจนจบและสอบผ่านก็จะได้ ITIL Practitioner Certificate และได้ ITIL Badge เป็นรูปสี่เหลี่ยมข้ามหลามตัดสีฟ้าดังในภาพครับ ผู้ที่จะเรียนหรือสอบคอร์สเฉพาะทางนี้ได้ต้องผ่านการสอบ ITIL Foundation มาก่อนครับ
• ITIL Service Manager คอร์สนี้เป็นคอร์สสำหรับผู้ที่ต้องการเจาะลึกลงในทุกกระบวนการที่เกี่ยวข้อง ของ ITIL ทั้งหมด ซี่งใช้เวลาเรียนนานกว่าเพื่อน และข้อสอบก็ยากกว่ามากครับ แต่เมื่อเรียนจบและสอบผ่านก็จะได้ ITIL Service Manager Certificate และได้ ITIL Badge เป็นรูปสี่เหลี่ยมข้ามหลามตัดสีแดงดังในภาพครับ แน่นอนครับผู้ที่จะเรียนหรือสอบคอร์สเฉพาะทางนี้ได้ต้องผ่านการสอบ ITIL Foundation มาก่อนครับ คอร์สนี้ถือเป็นอันสิ้นสุดของ certificate ด้านสาย service management ที่มีให้ในปัจจุบันครับ ขอให้สังเกตว่า Certification ทางด้าน ITIL นี้ เป็น certification ที่ให้แก่บุคคลที่ผ่านการทดสอบความรู้ และนอกจากนั้น certification นี้เป็นชนิดที่เป็นตลอดชีวิต ทั่วโลกรู้จัก (word-wide recogition, entire life certification) เพราะฉะนั้นท่านใดได้แล้ว ไม่ต้องคอยสอบใหม่เพื่อต่ออายุครับ
นอกจาก certificate ของบุคคล และมาตรฐาน BS 15000 หรือ ISO20000 ที่จะมีในอนาคต ที่จะให้แก่องค์กรแล้ว ก็ยังมี certification ที่ให้กับ’บริการ’ อีกเช่นกัน certification นี้มีผู้ให้บริการจัดทำคือบริษัท ซันไมโครซิสเต็ม จำกัด โดยการนำเอาหลักการทางด้าน ITIL มาประยุกต์ใช้เพื่อให้หลักประกันว่าบริการหนึ่งๆขององค์กรนั้นๆ มีมาตรฐานในการให้บริการสอดคล้องกับแนวทางของ ITIL หรือไม่ประการใด การให้ certification แบบนี้เรียกว่า SunTone Service ซึ่งเป็นบริการที่บริษัท ซันไมโครซิสเต็ม จำกัด ได้ให้บริการอยู่แล้วในปัจจุบัน